| Home |
เป็นประเด็นเดือดที่สร้างความสับสนไปทั้งสนามเมื่อ นักมวยไทยป่วยก่อนชก ถูกกรรมการสั่ง “ไล่ลงเวที” ในระหว่างการแข่งขัน เนื่องจากถูกมองว่าชกแบบไร้เรี่ยวแรง ไม่ออกอาวุธ และจังหวะป้องกันตัวผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ชมจำนวนมากไม่พอใจและมองว่าเป็นการขึ้นชกแบบไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตามหลังการแข่งขันไม่นาน ฝั่งค่ายต้นสังกัดได้ออกมาโพสต์ชี้แจงว่า นักมวยมีอาการป่วยตั้งแต่ก่อนขึ้นเวทีหลายชั่วโมง แต่เจ้าตัวฝืนขึ้นชกเพราะไม่อยากให้ไฟต์ต้องถูกยกเลิก ส่งผลให้ร่างกายรับไม่ไหวและอาการทรุดลงแบบกะทันหันบนเวที ความจริงที่ถูกเปิดเผยนี้ทำให้เสียงวิจารณ์พลิกกลับทันที จากโทษนักมวย กลายเป็นแย้งผู้จัดงานว่าขาดการตรวจเช็กสภาพร่างกายนักมวยที่เข้มงวดมากพอ ดราม่านี้จึงกลายเป็นคำถามใหญ่ในวงการว่า ระบบคัดกรองสุขภาพของนักสู้ไทยยังรัดกุมมากพอหรือไม่ และควรมีการแก้ไขระดับโครงสร้างเพื่อป้องกันปัญหาเช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือไม่
ทางค่ายต้นสังกัดออกมาเปิดเผยว่า นักมวยมีไข้สูง หน้ามืด และอาเจียนตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันแข่ง แต่เจ้าตัวยืนยันอยากขึ้นสังเวียน เพราะไม่ต้องการให้แฟนมวยที่ซื้อบัตรมาผิดหวัง และรู้สึกว่าตนเองยังพอฝืนได้ การตัดสินใจนี้กลายเป็นเหตุให้ร่างกายยิ่งแย่ลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่ยกแรก นักมวยเริ่มออกอาวุธไม่ได้ตามปกติ เสียสมดุลบ่อยครั้ง และไม่มีพลังในการฟื้นเกม ทำให้กรรมการมองว่าเป็นการชกแบบ “ไม่สมศักดิ์ศรี” และตัดสินให้ยุติไฟต์ทันที ค่ายระบุว่าความจริงไม่ใช่การชกแบบขาดใจสู้ แต่เป็นอาการป่วยที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้เพราะความรับผิดชอบต่อการแข่งขัน ยิ่งทำให้แฟนมวยจำนวนมากรู้สึกเห็นใจ และหันมาโทษระบบตรวจเช็กที่ปล่อยให้นักมวยที่ป่วยหนักขึ้นเวทีได้อย่างไร้การคัดกรองที่เหมาะสม
หลังเรื่องนี้ถูกเปิดโปง นักมวยและโค้ชหลายคนทั่วประเทศเริ่มออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ระบบตรวจสุขภาพก่อนชกของมวยไทยยังหละหลวมเกินไป เมื่อเทียบกับกีฬาต่อสู้ระดับนานาชาติอย่าง MMA หรือมวยสากลอาชีพ ซึ่งมีขั้นตอนตรวจร่างกายเข้มงวดมากกว่า พวกเขาเห็นว่า หากมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประจำเวทีตรวจร่างกายก่อนชก 1–2 ชั่วโมงอย่างจริงจัง เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีคนเสนอให้มีระบบ “ใบผ่านแพทย์เฉพาะไฟต์” ที่ตรวจซ้ำอีกครั้งในวันแข่ง เพื่อยืนยันว่านักมวยไม่มีอาการป่วยกะทันหันจนเสี่ยงต่ออันตราย การที่นักมวยต้องฝืนขึ้นชกเพราะกลัวเสียโอกาส หรือกลัวถูกมองว่าไม่มีความเป็นมืออาชีพ เป็นสัญญาณสำคัญว่าระบบสวัสดิการของนักมวยไทยต้องได้รับการปรับปรุงอย่างจริงจัง ทั้งเพื่อความปลอดภัยและเพื่อมาตรฐานของวงการในระยะยาว
เสียงเรียกร้องจากวงการมวยกำลังผลักดันให้มีการปรับระบบความปลอดภัยครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการบังคับให้มีแพทย์เฉพาะทางอยู่ประจำทุกไฟต์อย่างเป็นทางการ พร้อมขั้นตอนการตรวจสุขภาพหลายชั้น ก่อนที่จะอนุญาตให้นักมวยลงแข่งขันจริง ในข้อเสนอใหม่ มีการระบุว่าต้องมีการตรวจชีพจร ความดัน อุณหภูมิร่างกาย การตอบสนองของระบบประสาท และแบบสอบถามอาการป่วยก่อนเข้าเวที เพื่อป้องกันไม่ให้นักมวยที่มีภาวะเสี่ยงขึ้นชก ดราม่าครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการขาดการคัดกรองแบบละเอียด ไม่เพียงทำให้การแข่งขันผิดเพี้ยน แต่ยังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตของนักกีฬา การผลักดันระบบตรวจสุขภาพที่เข้มข้นจึงเป็นทางออกที่สำคัญ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับวงการมวยไทยสู่มาตรฐานสากลในอนาคตอันใกล้ ( อ่านเพื่มเติม กัญชา )